เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะของพระพุทธเจ้านะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านสอนไว้ ท่านบอกเหมือนกับห้างสรรพสินค้า คำว่า ห้างสรรพสินค้า” ถ้าห้างสรรพสินค้าที่ยิ่งใหญ่เขาจะมีสินค้ามหาศาล

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาสอน เวลาสอน เด็กๆ มันไปฝึกอานาปานสติหายใจเข้าและหายใจออก “เป็นคนฉุนเฉียวก็ไม่ฉุนเฉียว เป็นคนที่ขี้กลัวก็ไม่กลัว” เห็นไหม เด็กๆ มันฝึก เด็กๆ มันฝึกแล้วมันดีขึ้นๆ อันนี้คือฉีดวัคซีน พระพุทธศาสนานี่สุดยอด แล้วถึงเวลาเราจะใช้สอยประโยชน์ได้แค่ไหน

แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พอเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราได้การอบรมบ่มเพาะมา ถ้าการอบรมบ่มเพาะมาเป็นฝั่งเป็นฝา ต้องมีที่ยืนในสังคม นี่มันเป็นเรื่องของโลกๆ ไง เรื่องโลกๆ เราก็อยู่กับโลก เราอยู่กับโลกแล้วทำบุญกุศล

ศาสนาแรกเป็นศาสนาถือผี ถือผีถือสาง การอ้อนวอนน่ะ ไหว้ฟ้า ไหว้ต่างๆ เพื่อให้อุดมสมบูรณ์ๆ เราก็อุดมสมบูรณ์ นี่ศาสนาแรกคือศาสนาถือผี แล้วศาสนานั้นน่ะถือเทพเจ้า

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสอน สอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์มันยิ่งใหญ่ พอมันยิ่งใหญ่ขึ้นมามันต้องมีพื้นฐานมา พอมีพื้นฐานมา เห็นไหม เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ๆ สิ้นสุดแห่งทุกข์ เวลาไปประพฤติปฏิบัติมันจะเพ้อแล้วแหละ มันเพ้อเจ้อ มันเพ้อเจ้อของมันไป เวลามันเพ้อเจ้อขึ้นไป สิ่งที่เอ็งว่าปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร

สิ่งที่ว่าเพ้อๆ ดูสิ เวลาคนไข้ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเวลาไข้มันขึ้นสูงมันเพ้อเลยนะ เพ้อ เขาต้องเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อาการหายไข้ อย่าให้มันเพ้อเจ้อ ถ้ามันเพ้อเจ้อขึ้นมา สิ่งที่เพ้อ เพ้อเพราะพิษไข้ พิษไข้เขายังทำให้ไข้มันอ่อนลงมา ทำให้ไข้มันทุเลาลง เขาก็กลับมาเป็นปกติไง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน นักประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คำว่า เพ้อเจ้อๆ” เพ้อเจ้อเพราะอะไร เพราะเราคิดเอาเอง เราจินตนาการเอง เราคาดหมายเอง ปฏิบัติโดยการคาดหมาย ปฏิบัติโดยครูบาอาจารย์ที่มืดบอด เวลามืดบอดก็ชี้ไปตามความพอใจของตน ถ้าชี้ไปตามความพอใจของตน พูดออกมาสิ่งใดผิดพลาดทั้งนั้นเลยน่ะ เพ้อเจ้อ

เวลาคนเพ้อเจ้อนะ เวลาคนขาดสติ เห็นไหม เวลาขาดสติ เวลาเป็นใบ้บ้าขึ้นไปมันเป็นเพราะอะไรล่ะ นี่ไง มันมีแต่ความพร่ำเพ้อกันน่ะ ความพร่ำเพ้อ เวลาถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราสอนให้ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้ามาก็โต้แย้งคัดค้านไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าโต้แย้งคัดค้านกันไป มันจะมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญาได้อย่างไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมานะ โลกียปัญญา ไอน์สไตน์มันพูดเองเลยล่ะ ถ้ามีโอกาสนับถือศาสนา นับถือศาสนาพุทธ ไอน์สไตน์นะ เป็นนักปราชญ์ยอดเยี่ยมของโลกเลยนะ ถ้ามีโอกาสนับถือพระพุทธศาสนาก็จะนับถือศาสนาพุทธ

เวลานับถือศาสนาพุทธ ไอน์สไตน์มาภาวนาก็ภาวนาไม่เป็นแล้วกันแหละ ปัญญามันกว้างขวางไง นี่มันกว้างขวางมันก็คิดไปประสามัน แล้วก็เอาธรรมะไปสนับสนุนไงว่านี่มีปัญญามากๆ...นั่นคือปัญญาอะไร คำว่า โลกียปัญญา” โลกียปัญญาก็ปัญญาวิทยาศาสตร์นี่ไง

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาไง ปัญญาที่เกิดสัมมาสมาธิไง แล้วสัมมาสมาธิมันอยู่ที่ไหน สัมมาสมาธิไม่ต้องไปทำมัน สมาธิมันเกิดขึ้นเอง แล้วพูดนี่จินตนาการ

มันเป็นตรรกะนะ เราฟังพระเทศน์มากเรื่องมรรคผลนิพพาน อู้ฮู! อธิบายเป็นคุ้งเป็นแควเลยนะ อธิบายเป็นทางวิชาการเป็นตรรกะไปนะ อู้ฮู! แต่มันไม่รู้จักกิเลสน่ะ มันหากิเลสมันไม่เจอ คนจะชำระล้างกิเลสนะ กิเลสเป็นตัวอย่างไร เวลาเขาอธิบายถึงการชำระล้างกิเลส ฆ่ากิเลสนะ แล้วก็บอกว่ากิเลสเป็นนามธรรม

แล้วก็พูดถึงนะ เวลาเปรียบเทียบนี่นะ เปรียบเทียบ บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็เทศนาว่าการอย่างนั้นเปรียบเทียบเพื่อให้คนมีปัญญา เวลาหลวงปู่ขาวท่านชำระล้างกิเลสของท่าน เวลาท่านไปเห็นอวิชชา เห็นอวิชชาของท่าน เปรียบเหมือนกับเม็ดข้าว ถ้ามันได้หุงได้เผาแล้วมันก็จะไม่เกิดอีก ถ้าตกลงสู่ดิน ถ้าน้ำพร้อม ทุกอย่างพร้อมก็เกิดอีก เวลาของหลวงตา จุดและต่อม จุดและต่อม พลังงานทั้งหมดมันเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากตัวมันเอง ความคิดทั้งหมดเกิดจากจิต นี่คือวิทยานิพนธ์ของแต่ละบุคคล

ไอ้นั่นเขาไม่มีนะ อู้ฮู! พูดเป็นคุ้งเป็นแควเลยเนาะ อู๋ย! ฆ่ากิเลสๆ อู๋ย! สุดยอด...เพ้อเจ้อ

ทางวิชาการน่ะ ถ้าจะฆ่ากิเลสอย่างนี้นะ ๙ ประโยคเขาเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ๙ ประโยคเขาอธิบายได้ดีกว่าเอ็งอีก ทางวิชาการเขาสุดยอดกว่าเอ็งอีก เวลามันเพ้อเจ้อเพ้ออย่างนั้นน่ะ เพ้อนะ คนมีไข้มันเพ้อ ไอ้นี่คนไข้กิเลสมันสูง เวลามันเพ้อมันไม่รู้จักว่ามันเพ้อนะ แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านรู้ โอ้โฮ! ไอ้นี่มันเพ้อเพราะไม่มีรากฐาน ไม่มีที่มาที่ไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ชีวิตนี้คืออะไร เราเกิดมาจากไหน เกิดมาจากอวิชชา อวิชชาเป็นอย่างไร เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วเห็นจิตของตน เห็นจิตของตนแล้วไปชำระล้างกิเลสที่จิตของตน นี่มันสำรอกมันคายออกไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สังโยชน์ ๓ กามราคะปฏิฆะเบาบางลง กามราคะปฏิฆะขาดไป รูปราคะ อรูปราคะ

รูปราคะ อรูปราคะ เห็นไหม ฌาน ฌานสมาบัติ นี่รูปราคะ อรูปราคะ ฌานที่เป็นรูป ฌานที่เป็นอรูป มานะ อุทธัจจะ อวิชชา แล้วเวลามันฆ่าไป มันเกิดที่ไหน ชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาอย่างไร แล้วชำระล้าง ชำระล้างอะไร แล้วอะไรที่มันขาดออกไป อะไรที่มันตายไป ลูกหลานกิเลสมันตายอย่างไร แล้วพ่อแม่กิเลสมันตายอย่างไร แล้วปู่กิเลสมันตายอย่างไร มันตายอย่างไร ถ้าไม่เพ้อเจ้อ

ไอ้นี่มันเพ้อเจ้อ เวลาพร่ำเพ้อนะ สิ่งที่พร่ำเพ้อ หลวงตาท่านเน้นย้ำตลอดเวลา “ผู้รู้มีนะ” เวลาเราอยู่กับท่าน เวลาท่านพูดถึงพระที่มีชื่อเสียงต่างๆ เวลาพูดถึงเรื่องภาวนานะ ท่านไม่พูดออกมาหรอก ท่านยิ้มๆ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เขาพูดมามันเป็นไปไม่ได้ แล้วมันเป็นไปไม่ได้แล้วเวลาพูดถึงพระกรรมฐาน พระปฏิบัติ นี่ไง “โอ้โฮ! อัตตกิลมถานุโยค ทำตัวให้ลำบากเปล่า ธรรมะสอนให้สุขสบาย”

ทุกคนเกิดมาปรารถนาความสุขความสบายทั้งนั้นน่ะ แต่ความสุขความสบายจากคนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันคายกิเลสออกไปแล้วกลับไปเป็นปกติ นั่นน่ะคนนั้นเขาหายจากไข้แท้ เขาหายจากอวิชชา เขาไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นั่นน่ะของแท้

ไอ้ของเราน่ะเกิดมา ทุกข์เป็นอริยสัจ ความทุกข์เป็นความจริง เป็นความจริงแน่นอน นอนก็ทุกข์ กินก็ทุกข์ ทำอะไรก็ทุกข์ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ คนเราอยู่อิริยาบถเดียวอยู่ไม่ได้ คนเราอยู่เฉยๆ แบบวัตถุธาตุไม่ได้ มันต้องมีการเคลื่อนไหวตลอด มันเป็นไปไม่ได้ นี่พูดถึงอริยสัจเลย ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แล้วเราอยู่กับทุกข์ เพราะทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละไม่ได้

นี่พูดถึงว่าความเพ้อเจ้อนะ ความเพ้อเจ้อเพ้อพกไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีความเป็นจริงอยู่ในการประพฤติปฏิบัตินั้น ไม่มีความเป็นจริงอยู่ในการประพฤติปฏิบัตินั้นคือการเพ้อเจ้อ ฝัน

ฝัน มีคนถามปัญหามาเยอะมากเวลาฝันนะ โอ๋ย! ฝันว่าพิจารณากาย เวลาบอก “พิจารณาดีนะ พิจารณากายอย่างนั้น” “แล้วเอ็งทำอย่างไรล่ะ” “ก็นอนอยู่แล้วมันฝันไป”

ฝันแก้กิเลสไม่ได้ นี่ไง เวลาฝันขึ้นมา เพราะคนขาดสติมันถึงฝัน เวลาคนนอน คนที่นอนบางคนไม่เคยฝันเลย เกิดมาชาตินี้ไม่เคยฝันเลย บางคนฝันมาก ฝันมหาศาลเลย บางคนฝันจนเป็นความทุกข์ความยาก ฝันแต่เรื่องร้ายๆ ฝันแต่เรื่องความทุกข์ความยาก ฝันแต่ชีวิตนี้มีแต่ความตกระกำลำบาก ฝันอยู่อย่างนั้นน่ะ เวลาคนฝันฝันเห็นต่างๆ ความฝันไง นี่ความฝันแบบโลกนะ

หลวงตาท่านสอนประจำ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติท่านจะรู้เรื่องอย่างนี้ ฝันสุก ฝันดิบ เวลาฝันสุกก็คือคนนอนแล้วฝัน ฝันดิบๆ ก็คือความคิดเรานี่ ความเพ้อเจ้อเพ้อพกนี่ฝัน ฝันดิบๆ ฝันดิบ ฝันสุก เวลาฝัน ฝันแก้กิเลสไม่ได้

สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันเป็นจริตนิสัย ความเป็นจริตนิสัยขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์แล้วเราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา

การทำความสงบของใจเข้ามานี่สุดยอดนะ คำว่า สุดยอด” ดูสิ ของใช้ของสอยเราใช้แล้วมันจะสกปรกทั้งนั้นน่ะ ของใช้ของสอยแล้ว ก่อนจะเก็บเข้าที่เขาต้องทำความสะอาดนะ แล้วเก็บไว้ใช้ต่อเนื่องกันไป ของที่เสื้อผ้าเครื่องผ่อนแพรพรรณ ถ้วยจาน เราใช้แล้วเราก็ต้องเก็บล้าง เราต้องล้างทำความสะอาด เก็บไว้ใช้ต่อไปๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา จิตใจของเรามันสกปรกโสโครกของมัน มันคิดตัณหาความทะยานอยาก เวลาหลวงตาท่านสอน สัมมาสมาธิคือว่ามันปล่อยวางๆ มันอิ่มในตัวมันเองไง คนที่ไม่อิ่มในตัวเองเห็นอะไรมันก็คว้าหมดไง ความคิดของเรามีอะไรมามันโหยหาทั้งนั้นน่ะ โดยธรรมชาติของมัน มันโหยหาความคิด มันโหยหาที่มันจะเกาะยึด จิตนี้มันทรงตัวของมันไม่ได้ มันต้องโหยหาเกาะสัญญาอารมณ์อยู่ตลอดไป ใครมีอารมณ์ สัญญาอารมณ์มากน้อยแค่ไหนมันก็เกาะไปตามนั้น

ฉะนั้น เวลาเพ้อพก เพ้อพกขึ้นไปนะ “อู๋ย! ปล่อยวางๆ” เวลามันเพ้อพกขึ้นมา มันโหยหาสัญญาอารมณ์ มันก็ไปเกาะอารมณ์ว่างๆ ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการปล่อยวางเป็นความสุข นิพพานเป็นความว่างไง มันเกาะว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ไม่มีอะไรเลย เพราะอะไร เพราะมันไม่มีที่มาที่ไป

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราเกิดมาเกิดจากเวรจากกรรมนะ เกิดจากเวรจากกรรม เราทำเวรทำกรรมแล้วมันซับลงที่ภวาสวะ ที่ภพ ที่จิตที่ไม่เคยตาย เรามีเวรมีกรรมกับพ่อกับแม่ พ่อแม่มีเวรมีกรรมกับเรา มันบาลานซ์กัน คนร่ำรวยคนมีฐานะมีลูกมีเต้าน้อยมาก ไอ้คนทุกข์คนจน แม่เป็ดลูกเป็ดเลย เดินมาเป็นแถวเลยน่ะ นี่ไง เพราะคนเราสร้างเวรสร้างกรรมมา สร้างกรรมสูงส่งมาน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วก็ปานกลาง

ฉะนั้น เราเกิดมาเกิดจากเวรจากกรรมของเรา แต่มันบาลานซ์กับเวรกรรมของพ่อของแม่ของสายตระกูล นี่เกิดมา เกิดมาอย่างไร แล้วเกิดมาแล้วมันมีความทุกข์ความยากอย่างไร มันมีสติสัมปชัญญะของมันมากน้อยแค่ไหน นี่ข้อเท็จจริงนะ

แต่ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ต้องล้างกลับมาให้มันอยู่กับความสงบ เห็นไหม ผ้าผ่อนแพรพรรณเราใช้แล้วเราต้องซักต้องล้าง ทุกอย่างเราต้องซักต้องล้าง ซักล้างไว้ทำไม ซักล้างไว้ใช้ต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเราถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตของเราที่มันจะรักษา ถ้าจิตของเราได้ทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว ถ้าใจมันสงบระงับแล้ว สิ่งที่สะอาด ถ้วยจานที่สะอาด ถ้วยจานที่ไม่มีสารพิษ เราจะไปกินอาหารอะไรเราก็กินได้ใช่ไหม เป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม ถ้วยจานของเรามีสารพิษหมดเลย ถ้วยจานของเรานะ พาราควอตเต็มไปหมดเลย กินเข้าไปตายหมดน่ะ มะเร็งถามหาข้างหน้า แล้วก็ไปเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใส่ กินอร๊อยอร่อย มันจะตายอยู่นั่นน่ะ

แต่เวลาจริงๆ แล้วเวลามันทำความสงบของใจเข้ามาๆ พาราควอตไม่ต้องใส่ สารพิษไม่มี เราจะเอาความสะอาดของเรา ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ามันจะเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาขึ้นมาก็ปัญญาจากธรรมะไง นี่ไง โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญาไง นี่ไง ถ้ามันไม่เพ้อเจ้อ ถ้ามันไม่เพ้อเจ้อมันจะเห็นประโยชน์การทำความสะอาด

ในโรงพยาบาลเวลาคนไข้มาเขาก็ดูแลรักษาทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าคนไข้ขึ้นมา เวลาจะมีการผ่าตัดเขาต้องมีห้องปลอดเชื้อ สิ่งใช้สอยที่จะเข้าไปในห้องพยาบาลต้องฆ่าเชื้อ เขาทำ นั่นน่ะเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวมันติดเชื้อ นี่ถ้าไม่เพ้อเจ้อ

อย่าเพ้อเจ้อ เราจะบอกว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดนะ ความเพ้อเจ้อเพ้อฝันน่ะ ความเพ้อฝัน อันนี้มันเป็นเรื่องข้อเท็จจริง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้คนเรามีจิตใจเป็นสาธารณะ ทำให้คนเรามีจิตใจที่มีน้ำใจต่อกัน ความมีน้ำใจต่อกันสังคมจะร่มเย็นเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุข นี่ถูกต้อง การไปฝึกหัดการประพฤติปฏิบัติไม่ผิด ให้วัคซีนไง

โธ่! เราเห็นนะ เห็นเด็กๆ “โอ๋ย! ไปหัดหายใจเข้าและหายใจออก ทำได้ไหม” “โอ๋ย! ทีแรกก็ทำไม่เป็นน่ะ เวลาครูเขาสอนก็พยายามทำ”

เราเห็นดีเห็นงามด้วยนะ เราเห็นดีเห็นงามด้วย นี่ไง การฝึกหัดเด็กให้มันควบคุมตัวมันเองได้ เวลาไปหน้าห้องแล้วกล้าพูด เวลาอยู่กับเพื่อนแล้วกล้าโต้แย้ง เราทำผิดทำถูก แล้วพอเราฝึกหัดแล้วเราควบคุมอารมณ์ของเราได้ เราไม่ฉุนเฉียวไปทำร้ายใคร เราไม่ลักของใคร นี่นิพพานหรือ ไม่เห็นนิพพานเลย

นี่มันมีประโยชน์มาก อย่าเพ้อเจ้อ ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติเอามรรคเอาผลนั้นเป็นข้อเท็จจริงนะ ถ้าข้อเท็จจริง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว มันเป็นการพิสูจน์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ นะ ไม่มีใครโต้แย้งได้เลย ครูบาอาจารย์ของเราเวลาแสดงธรรมนะ ไม่มีคำโต้แย้งได้เลย

แต่ของเรา มึงพูดคำ กูพูดคำ มึงพูดมา กูสอดเลย อ้าว! มึงพูดมาสิ กูก็รู้ มึงพูดมา

ไม่มีเลย ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย

เวลาหลวงปู่มั่นนะ เอ็งอย่าพูดเลย เอ็งกำลังเพ้อฝัน ในใจเอ็งยังไม่เข้าใจเลย เอ็งจะฟังเทศน์เอ็งมีสติหรือไม่ เอ็งมีสติหรือไม่ เอ็งได้เตรียมพื้นที่ของเอ็งไว้บ้างหรือเปล่า เราจะนั่งจะนอนที่ไหนเราต้องทำความสะอาดที่นั่นก่อนนะ เราจะนั่งจะนอนที่ไหนเราต้องทำความสะอาดเพื่อความปลอดภัยของเรา เพื่อไม่ให้ติดโรคของเรา

จะฟังเทศน์ฟังธรรมนะ เวลาครูบาอาจารย์กรรมฐานนะ เวลาเข้าวัดไปแล้วเขาเคารพสถานที่ สถานที่นั้นเป็นสถานที่ของผู้ทรงศีล สถานที่นั้นเป็นสถานที่อยู่ของผู้ที่มีคุณธรรม เขาเคารพบูชามาตั้งแต่นั่น

ทีนี้เคารพบูชามา พอเคารพบูชากันมาแล้วมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เวลาทางภาคอีสานจะเขียนไว้เลย “ผู้หญิงห้ามขึ้น ที่นี่ผู้หญิงห้ามเข้า” เราก็วิทยาศาสตร์ อ้าว! เพศหญิงเพศชายมันต้องเสมอภาคเว้ย ทำไมจะขึ้นไม่ได้ ได้ทั้งนั้นน่ะ เราไปคิดทางวิทยาศาสตร์ไง เราไม่ได้คิดถึงคุณธรรมไง เราไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงของสัจธรรมไง

ถ้าเราคิดถึงข้อเท็จจริง ทำไมจะไม่ให้ขึ้น ดูสิ เวลาเป็นสมาธิขึ้นมาไม่มีหญิงไม่มีชาย เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นางอุบลวรรณาก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นพระที่ว่าเป็นเอตทัคคะ พระพุทธเจ้าแต่งตั้งตั้งหลายองค์ เวลามันเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันไม่มีเพศหญิงเพศชาย สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย ปัญญาไม่มีหญิงไม่มีชาย

แต่เวลาด้วยเวรด้วยกรรมของสัตว์โลก เราเกิดเป็นหญิงเป็นชาย พอเกิดเป็นหญิงเป็นชายนี่เป็นสมมุติไง สมมุติขึ้นมาแล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติเข้าไป เวลาทำสมาธิเข้าไปมีหญิงมีชายหรือไม่ มันไม่มีหญิงไม่มีชายก็ต่อเมื่อทำสมาธิขึ้นไป พอเป็นสมาธิแล้ว สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่สัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ มีมิจฉาปัญญาหรือสัมมาปัญญา มันมีสัมมากับมิจฉาคือถูกกับผิดเท่านั้น มันไม่มีหญิงไม่มีชาย

แต่เวลามีหญิงมีชายขึ้นมานี่โลกสมมุติไง กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ เป็นสืบต่อของสัตว์โลก นี่มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงไง ถ้าเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง นี่มันเรื่องของจริงไง นี่ถ้าไม่เพ้อไม่ฝันนะ จะไม่มีความขัดแย้งเลย

การประพฤติปฏิบัตินะ คนที่ไปประพฤติปฏิบัติเหมือนกับการไปฉีดวัคซีน เด็กที่ให้วัคซีนมันครบแล้วมันจะปลอดภัยกับเชื้อโรค เราพาลูกพาหลานเราเข้าวัดเข้าวาเพื่อฝึกหัดเขา ปลอดจากเชื้อโรค ปลอดจากการที่ชักจูงไปในทางที่ผิด

แต่ถ้าจะทำความสะอาดในใจของเขานั้นมันเป็นการต้องทำให้เขาทำให้เป็นข้อเท็จจริง แล้วเป็นข้อเท็จจริงนั้น ถ้าเป็นจริงนะ เวลาละสังโยชน์ ๓ ไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ ไม่เชื่อสิ่งต่างๆ ไม่เชื่อสิ่งนอกพระพุทธศาสนา ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะมันรู้จริง มันจะไปเชื่ออะไร

แต่ถ้ามันเชื่อแล้วมันไหลตามเขาไป โอ้โฮ! สงสัยเขื่อนแตก ถ้าเขื่อนแตกนะ ใต้เขื่อนตายหมดน่ะ นี่ไง มันเป็นไปไม่ได้ถ้าเป็นข้อเท็จจริงแล้ว ถ้าเป็นข้อเท็จจริงแล้วเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อกุปปธรรม อกุปปธรรม ผู้รู้จริงอกุปปธรรม ถ้าไม่เป็นความจริงนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ อย่าเพ้อเจ้อ

ความเพ้อเจ้อๆ พระพุทธศาสนาเรามีคุณค่านะ แต่เพราะเขาเพ้อเจ้อ ไอ้คำถามที่เราตอบไปนั้นเพราะเขาถามปัญหามา เราไปเปิดดู เขาบอกว่าเขานั่งมา ๑๖ ชั่วโมง อู้ฮู! สุดยอดเลย ถ้าอย่างนั้นเราสร้างวัดมานี่ ๑๑ ปีนะ พระพุทธรูปเรานั่งมา ๑๑ ปีไม่ทำอะไรเลย นั่งมา ๑๑ ปี

นั่งมากนั่งน้อย ความนั่งมากนั่งยาวมันเป็นโอกาส เหมือนกีฬา ถ้ามีเวลาให้เราทำคะแนน ให้เราทำผลประโยชน์กับเรา อันนั้นเรื่องหนึ่ง การนั่งมากมันเป็นโอกาสของตน แต่คนนั่งน้อยเขาเป็นความสงบก็ได้ แล้วคนนั่งน้อยเขาอาจสงบมากกว่าคนนั่งมากก็ได้ แต่ของเรา เราก็ต้องมีความเพียรชอบ ความอุตสาหะของเรา

ฉะนั้น เขาบอกเขานั่งมา ๑๖ ชั่วโมง เขาถามปัญหามาไง แล้วเขาถามถึงว่าเขาไปประสบพบสิ่งต่างๆ เราถึงได้บอกว่าเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อ แล้วมันมีคนเคยถามเรื่องฝัน เราถึงบอกว่า เพ้อกับฝันแก้กิเลสไม่ได้ เพ้อฝันไม่ใช่สัจธรรม

เราทำของเราไปโดยข้อเท็จจริงของเรานะ เรามาวัดมาวาขึ้นมา เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ หนึ่งไม่มีสอง ไม่มีความผิดพลาดคาดเคลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่คนมีเวรกรรมมากน้อยแค่ไหน มันจะมีอุปสรรคเพราะกรรมเก่าของตน

คนเรานะ มีเวรมีกรรมมาทุกคนนนะ ถ้าไม่มีเวรไม่มีกรรมทุกคนนะ สินค้าสร้างมาชนิดเดียวแล้วขายได้ตลอดไป สินค้าเขาต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะล่อให้คนซื้อ แล้วคนก็ชอบแตกต่างกันไป ทีนี้การชอบแตกต่างกันไป จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน นี้การสอนแบบสูตรสำเร็จไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้น สอนเฉพาะคน เฉพาะคน เฉพาะคน หลวงปู่มั่นสอนเฉพาะคน เฉพาะคน เฉพาะคน เฉพาะคนเวลาเขามาถามปัญหาของเขาตรงนั้น แล้วแก้ไขเฉพาะจริตนิสัยของเขา แล้วถ้าเขาแก้กิเลสของเขาก็เฉพาะตรงนั้น ถ้ากิเลสตายไปแล้ว อย่างอื่นไม่เกี่ยวเลย ถ้ากิเลสของเขาได้สำรอกได้คายไปแล้ว เพราะด้วยคุณธรรม ด้วยวิธีการ ด้วยมรรคด้วยผลอันนั้น สำคัญตรงนั้น สำคัญตรงการชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนตรงนั้น มรรคผลเกิดตรงนั้น ถ้าเกิดตรงนั้น เกิดสัจจะความจริงที่นั่น

พระพุทธศาสนานี่สุดยอด สุดยอด หลวงตาท่านเปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าหลากหลายมาก แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติ ไม่ต้องไปเอาทุกๆ อย่าง ทุกๆ อย่าง เอ็งใช้ไม่หมดหรอก แล้วเอ็งไม่จำเป็นต้องใช้ด้วย เอ็งจำเป็นต้องใช้เฉพาะที่เอ็งต้องใช้ เอ็งจำเป็นต้องใช้เพราะสิ่งที่จะไปชำระล้างกิเลสในใจของเอ็ง เอ็งไม่ต้องไปเหมามาทั้งห้างสรรพสินค้าหรอก ถ้าเอ็งเหมามาเอ็งไม่มีที่เก็บ เอ็งไม่มีที่รักษาหรอก เอ็งใช้เฉพาะสิ่งที่เอ็งต้องใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา เอวัง